ทำอย่างไรให้สามารถกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ Google map แบบจุดเดียวและหลายจุดจากฐานข้อมูลได้ด้วย ASP.NET C# (ภาคต่อ)

             จากบทความที่แล้ว ผู้เขียนได้เขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องวิธีการกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่กันไปบ้างแล้ว ในหัวข้อ “ทำอย่างไรให้สามารถกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ Google map แบบจุดเดียวและหลายจุดจากฐานข้อมูลได้ด้วย ASP.NET C#” สำหรับในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอพูดถึงในส่วนของการดึงค่าละติจูด ลองจิจูดของสถานที่ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการแสดงผลพิกัดบนแผนที่ ซึ่งเดิมทีแล้วนั้น ผู้ใช้อาจต้องค้นหาข้อมูลพิกัดดังกล่าวจาก Google map เองและนำพิกัดดังกล่าวมากรอกลงฐานข้อมูลหรือมาระบุเพื่อการแสดงพิกัดนั้นๆในการเขียนโปรแกรม คงเป็นการดี หากการแสดงผลพิกัดจากฐานข้อมูลนั้น จะมีตัวช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการดึงค่าละติจูด และลองจิจูดโดยการกรอกข้อมูลชื่อสถานที่ลงไปเพื่อใช้ในการค้นหา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์และทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นในการนำพิกัดเหล่านั้นไประบุบนแผนที่นั่นเอง              โดยการดึงค่าพิกัดละติจูด-ลองจิจูดของสถานที่ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนขอแนะนำ 2 วิธี ดังนี้ การเรียกใช้เซอร์วิสของ Google Geocoding API  โดยการส่งพารามิเตอร์เป็นที่อยู่ของสถานที่ดังกล่าว ฝั่ง C# private void getLatAndLong() { try { ////เป็นการกำหนด url ที่จะใช้ในการเรียกเซอร์วิสของ Google Geocoding API โดยมีการส่งค่าพารามิเตอร์เป็นข้อมูลที่อยู่ string url = “http://maps.google.com/maps/api/geocode/xml?address=” + txtLocation.Text + “&sensor=false”; WebRequest request = WebRequest.Create(url); using (WebResponse response = (HttpWebResponse)request.GetResponse()) { ////ผลลัพธ์จะอยู่ในรูปแบบของ XML หรือ JSON และจะถูกอ่านให้อยู่ในรูปแบบ Dataset โดยใช้ StreamReader using (StreamReader reader = new StreamReader(response.GetResponseStream(), Encoding.UTF8)) { DataSet dsResult = new DataSet(); dsResult.ReadXml(reader); ////จัดทำโครงสร้างตาราง(datatable) ที่จะใช้ในการแสดงผลใน Gridview DataTable dtCoordinates = new DataTable(); dtCoordinates.Columns.AddRange(new DataColumn[4] { new DataColumn(“Id”, typeof(int)), new DataColumn(“Address”, typeof(string)), new DataColumn(“Latitude”,typeof(string)), new DataColumn(“Longitude”,typeof(string)) }); ////ดึงค่าผลลัพธ์จากตารางต่างๆ เพื่อนำค่าที่จำเป็นมาแสดงผลตามต้องการ foreach (DataRow row in dsResult.Tables[“result”].Rows) { string geometry_id = dsResult.Tables[“geometry”].Select(“result_id = ” + row[“result_id”].ToString())[0][“geometry_id”].ToString(); DataRow location = dsResult.Tables[“location”].Select(“geometry_id = ” + geometry_id)[0]; dtCoordinates.Rows.Add(row[“result_id”], row[“formatted_address”], location[“lat”], location[“lng”]); } ////แสดงผลข้อมูลของค่าที่ดึงมาได้ใน Gridview (ถ้ามี) if (dtCoordinates.Rows.Count > 0) { gvLatLong.DataSource = dtCoordinates; gvLatLong.DataBind(); } else { gvLatLong.DataSource = null; gvLatLong.DataBind(); ScriptManager.RegisterStartupScript(Page, Page.GetType(), “alert”, “alert(‘Can not find Latitude and Longitude!’); “, true); } } } } catch (Exception ex) { ScriptManager.RegisterStartupScript(Page, Page.GetType(), “alert”, “alert(‘Can not find Latitude and Longitude!’); “, true); gvLatLong.DataSource = null; gvLatLong.DataBind(); } } protected void btnSearch_Click(object sender, EventArgs

Read More »

Export ข้อมูลไฟล์ Excel ในแบบ Single และ Multiple sheet ด้วย ASP.NET(C#)

            ความเดิมตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้พูดถึงความสำคัญของข้อมูล และวิธีการ Import ข้อมูลจากไฟล์ Excel กันไปพอสมควร สำหรับในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงวิธีการส่งออกข้อมูล หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า “Export ข้อมูล” กันบ้าง เพื่อให้ผู้พัฒนาที่มีความสนใจสามารถพัฒนาโปรแกรมได้ครบวงจรทั้งแบบนำเข้าและส่งออกข้อมูล โดยผู้เขียนจะไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดที่ได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า ผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความ “เรียนรู้วิธีการ Import ข้อมูลในรูปแบบไฟล์ Excel ด้วย ASP.NET (C#)” สำหรับในบทความนี้ผู้เขียนจะเน้นในส่วนของการ Export ข้อมูลเท่านั้น ซึ่งจะมีการอธิบายใน 2 ลักษณะเช่นกัน คือ แบบ Single sheet และแบบ Multiple sheet เพื่อให้เห็นเป็นแนวทางและสามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับแต่ละท่านได้ กรณีส่งออกข้อมูล(Export) ซึ่งในบทความนี้จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การส่งออกข้อมูลแบบ Single-sheet ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานไม่ซับซ้อนมากนัก ดังนี้ protected void btnExport_Click(object sender, EventArgs e) { //// ตารางสมมติ สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้พัฒนาเห็นภาพ หากเป็นกรณีใช้งานจริงจะเป็นข้อมูลที่ดึงจากฐานข้อมูลเพื่อ Export ในรูปแบบไฟล์ Excel DataTable table = new DataTable(); table.Columns.Add(“Name”, typeof(string)); table.Columns.Add(“Latitude”, typeof(decimal)); table.Columns.Add(“Longitude”, typeof(decimal)); table.Columns.Add(“Description”, typeof(string)); table.Rows.Add(“University1”, 7.006923, 100.500238, “Desc1”); table.Rows.Add(“University2”, 7.172661, 100.613726, “Desc2”); StringBuilder sb = new StringBuilder(); if (table.Rows.Count > 0) { string fileName = Path.Combine(Server.MapPath(“~/ImportDocument”), DateTime.Now.ToString(“ddMMyyyyhhmmss”) + “.xls”); //// ลักษณะการตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อด้วย OleDb ซึ่งในกรณีนี้ไฟล์ Excel จะต้องมีนามสกุลเป็น .xls แต่หากเป็นนามสกุลแบบ .xlsx ต้องเปลี่ยนการกำหนดค่าให้เป็น conString = @”Provider=Microsoft.ACE.OLEDB.12.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=’Excel 12.0;HDR=YES;IMEX=1;’;”; แทน string conString = “Provider=Microsoft.Jet.OLEDB.4.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=\”Excel 8.0;HDR=Yes;IMEX=2\””;  using (OleDbConnection con = new OleDbConnection(conString)) { ////เขียนคำสั่งในการสร้างตาราง ซึ่งในที่นี้คือ WorkSheet ที่ต้องการ พร้อมทั้งกำหนดชื่อและชนิดของข้อมูลในแต่ละคอลัมน์ string strCreateTab = “Create table University (” + ” [Name] varchar(50), ” + ” [Latitude] double, ” + ” [Longitude] double, ” + ” [Description] varchar(200)) “; if (con.State == ConnectionState.Closed) { con.Open(); } ////รันคำสั่งที่เขียนในการสร้างตาราง OleDbCommand cmd = new OleDbCommand(strCreateTab, con); cmd.ExecuteNonQuery(); ////เขียนคำสั่งในการเพิ่มข้อมูล(insert) ข้อมูลในแต่ละฟิลด์ รวมทั้งประกาศพารามิเตอร์ที่ใช้ในการรับค่าข้อมูลที่อ่านได้ string strInsert = “Insert into University([Name],[Latitude],” + ” [Longitude], [Description]” + “) values(?,?,?,?)”; OleDbCommand cmdIns =

Read More »

ทำอย่างไรให้สามารถกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ Google map แบบจุดเดียวและหลายจุดจากฐานข้อมูลได้ด้วย ASP.NET C#

      การพัฒนาเว็บไซต์ในปัจจุบัน พบว่ามีบางเว็บไซต์มีความต้องการในการแสดงผลตำแหน่ง ที่ตั้งบนแผนที่ Google map เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ในการค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่นั้นๆมากกว่าการบอกเพียงที่อยู่อย่างเช่นแต่ก่อน อาธิเช่น เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมในการจองที่พัก ที่มีความจำเป็นต้องแสดงที่ตั้งของโรงแรมที่มีในบริเวณหรือละแวกนั้นๆที่เข้ามาร่วมให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ในการจองที่พัก หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่เว็บไซต์ต้องการแสดงที่ตั้งเพื่อให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถทราบได้ว่าสถานที่เหล่านั้นมีที่ตั้งอยู่ในบริเวณใดบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถเรียกดูได้จากแผนที่เพื่อศึกษาเส้นทาง หรือหาตำแหน่งที่จะสามารถไปยังจุดนั้นๆได้โดยง่ายและใช้ระยะทางใกล้ที่สุดนั่นเอง       ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอพูดถึงวิธีการแสดงผลตำแหน่งที่ตั้งบน Google map ซึ่งมีทั้งแบบกำหนดตายตัว โดยมีการระบุตำแหน่งที่ตั้งทั้งละติจูดและลองจิจูด และแบบที่มีการดึงค่าของละติจูดและลองจิจูดมาจากฐานข้อมูลของเว็บไซต์ที่พัฒนาโดยใช้เครื่องมือ ASP.NET ด้วย C# และแบบที่มีการกำหนดจุดแสดงตำแหน่งเพียงจุดเดียวและหลายจุดพร้อมกัน เพื่อประโยชน์กับนักพัฒนาท่านอื่นๆที่มีความสนใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเว็บไซต์ของตนได้       โดยผู้เขียนขอเสนอวิธีการเบื้องต้นในการแสดงผลแบบกำหนดค่าตายตัวให้ผู้อ่านลองศึกษาการทำงานเพื่อทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อน ดังนี้ การแสดงผลแบบจุดเดียว อ้างอิงพาธที่ตั้งของ Google API ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงผลบนแผนที่ Google map และไฟล์จาวาสคริปต์ที่ใช้ในการแสดงผล(ถ้ามี) <script type=”text/javascript” src=”http://maps.googleapis.com/maps/api/js?sensor=false”></script>   <script src=”js/mapwithmarker.js” type=”text/javascript”></script> กำหนดสไตล์ชีทที่ใช้ในการแสดงผล เมื่อมีการคลิกตำแหน่งที่ได้ทำการกำหนดพิกัดไว้ <style type=”text/css”> .labels { color: black; background-color: #FF8075; font-family: Arial; font-size: 11px; font-weight: bold; text-align: center; width: 12px; } </style> กำหนดพิกัดที่ต้องการให้แผนที่ค้นหาจุดกึ่งกลางของการแสดงผล ซึ่งโดยปกติจะถือเอาจุดแรกที่ต้องการแสดงเป็นตำแหน่งกึ่งกลางของการแสดงผลตำแหน่งบนแผนที่นั้นๆ เพื่อให้ตำแหน่งดังกล่าวอยู่กึ่งกลางของแผนที่ที่ต้องการแสดงนั่นเอง var mapOptions = { center: new google.maps.LatLng(ค่าละติจูด, ค่าลองจิจูด), zoom: 12, ///ขนาดที่ต้องการให้ซูมเป็นค่าตั้งต้น mapTypeId: google.maps.MapTypeId.ROADMAP }; กำหนดส่วนที่ต้องการให้แสดงแผนที่ ว่าต้องการให้แสดงในส่วนใดของเว็บไซต์ var map = new google.maps.Map(document.getElementById(“dvMap”), mapOptions); ///ในที่นี้พื้นที่ที่ต้องการให้แสดงผลในเว็บไซต์ คือ dvMap โดยนำค่าที่กำหนดกึ่งกลางไว้ในขั้นตอนที่ 3 (mapOptions) มาเป็นค่าพารามิเตอร์ในการแสดงผลด้วย การกำหนดจุดพิกัดที่ต้องการแสดงผล ซึ่งค่าที่ต้องการคือ ชื่อสถานที่ ค่าละติจูด ลองจิจูด และคำอธิบายในการแสดงผลตำแหน่งสถานที่ที่เราทำการกำหนดไว้ ดังนี้ กำหนดค่าพิกัดลองจิจูดและละติจูดของจุดที่เราต้องการกำหนดบนแผนที่ var infoWindow = new google.maps.InfoWindow(); var myLatlng = new google.maps.LatLng(ค่าละติจูด, ค่าลองจิจูด); กำหนดค่าพิกัดตำแหน่งของจุดและพารามิเตอร์ต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการกำหนดจุดที่เราต้องการกำหนดบนแผนที่ var marker = new MarkerWithLabel({ position: myLatlng, //เป็นการกำหนดค่าพิกัดตำแหน่งของจุดที่เราต้องการกำหนดบนแผนที่ map: map, //เป็นการกำหนดพื้นที่ที่ต้องการแสดงแผนที่ ในที่นี้คือ dvMap title: title, //เป็นการกำหนดชื่อสถานที่ labelContent:1,  //เป็นการกำหนดหมายเลขลำดับของตำแหน่งแสดงผล labelAnchor: new google.maps.Point(7, 30), labelClass: “labels”, //เป็นการกำหนดรูปแบบในการแสดงผลด้วยสไตล์ชีท labelInBackground: false }); กำหนดการแสดงผลเมื่อผู้เยี่ยมชมมีการคลิกบนจุดดังกล่าว (function(marker) { google.maps.event.addListener(marker, “click”, function(e) { infoWindow.setContent(description); //เป็นการกำหนดข้อความที่ต้องการแสดง เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์คลิกบนจุดดังกล่าว infoWindow.open(map, marker); }); })(marker); สร้างพื้นที่ที่กำหนดการแสดงผลในส่วน body <div id=”dvMap” style=”width: 800px; height: 700px;”> </div> แสดง code ทั้งหมดที่ใช้ <%@ Page Language=”C#” AutoEventWireup=”true”  CodeFile=”Default.aspx.cs” Inherits=”_Default” %> <!DOCTYPE html PUBLIC “-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN” “http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd”> <html xmlns=”http://www.w3.org/1999/xhtml”> <head runat=”server”> <title>Google map Test for one point</title> <style type=”text/css”> .labels {

Read More »