[Adobe XD Tips] How to สร้าง Prototype จาก UI ที่ออกแบบไว้แล้ว

สวัสดีเพื่อนๆชาว IT/Graphic ทุกท่าน วันนี้เราเคล็ดลับง่ายๆในการสร้าง Prototype ระบบด้วยการนำรูปภาพ User Interface(UI) ที่มีอยู่หรือออกแบบไว้แล้วด้วยเครื่องมือฟรีและดีนั้นคือ Adobe XD Prototype คืออะไร Prototype คือ การทำ Interactive User Interface หรือหน้าตาของระบบที่สามารถตอบสนองต่อผู้ใช้ โดยไม่ต้องเขียน code เลย เช่น การคลิกปุ่มใดปุ่มหนึ่งในหน้า UI ทำให้มีการเปลี่ยนหน้าหรือเปลี่ยนสถานะของ object ในหน้านั้นๆ การทำ Prototype นั้นจะทำให้ Developer สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น รู้ Flow การทำงานของระบบ อีกทั้งยังสามารถทำเพื่อใช้ในการนำเสนอระบบงานกับลูกค้าได้โดยไม่ต้อง coding ถึงเวลาลงมือทำกัน ลุยยย!! ขั้นตอนแรกเราจะต้องเตรียมไฟล์รูป UI ที่ออกแบบไว้แล้วไม่ว่าจะทำด้วย Microsoft Powerpoint, Adobe Photoshop, Adobe Illustrator หรือโปรแกรมอื่นๆ ขั้นตอนต่อไป เปิดโปรแกรม Adobe XD ขึ้นมาและสร้างหน้าว่างๆขึ้นมา โดย Adobe XD จะมี template ให้เลือกหลักๆเป็น mobile, tablet และ หน้า website ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าต้องการสร้าง Prototype สำหรับ Device ประเภทไหนหรืออิงจากขนาดจาก UI ที่ออกแบบไว้เดิมก็สามารถเลือกในส่วนของ Custom Size ได้เช่นกัน หลังจากเลือก blank template มาแล้ว ณ ที่นี้ได้เลือก Web 1920 นั้นคือหน้าจอ website ขนาด 1920×1080 ก็จะได้หน้าต่างมาหน้าตาแบบนี้ เราจะเริ่มจากการทำงานใน Tab แรกกันก่อนนั้นคือ Tab ของ Design เลือกได้จาก Menu Bar ข้างบน หลักการของขั้นตอนนี้ คือการนำรูป UI ที่ทำไว้แล้วมาวางลงในตัว Artboard สีขาว 1 หน้า UI จะถูกวางใน Artboard เพียง 1อันและขยายให้เต็ม หลังจากนำรูปมาวางแล้ว เราเพิ่มหน้า Artboard ยังไงหละ?? เราจะใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Artboard Tool จากแถบเครื่องมือด้านซ้าย เมื่อคลิกใช้เครื่องมือแล้วตัว Curser ของเราจะเปลี่ยนไปเป็นรูป + เราสามารถคลิกตรงพื้นที่สีเทาเพื่อสร้างหน้าใหม่ขึ้นมาได้เลย (แค่คลิกนะ ไม่ต้องลาก เพราะถ้าลากจะเป็นการสร้างแบบกำหนดขนาดเอง) สร้างไปให้จำนวนหน้าว่างเท่ากับจำนวนไฟล์ภาพ UI ที่เรามี นำภาพ UI มาวางจนครบ ขั้นตอนต่อไปสำคัญมากๆ นั้นคือ การสร้างการเชื่อมโยงระหว่าง Artboard ของเรา โดยปกติแล้วถ้าเราเริ่มออกแบบระบบด้วย Adobe XD ตั้งแต่เริ่ม เราสามารถเลือกได้ว่าวัตถุชิ้นไหนในหน้านี้ที่สามารถคลิกแล้วมีผลอะไรตามมาบ้างได้เลย แต่เราออกแบบมาแล้ว ได้วัตถุมาแค่ชิ้นเดียวนั้นก็คือรูป ” เราจะทำการสร้างสี่เหลี่ยมล่องหนขึ้นมาแทน แล้วปรับขนาดให้เท่ากับปุ่มในรูป UI และไม่ต้องใส่สีเข้าไป “ โดยใช้เครื่องมือ Rectangle จากแทบเครื่องมือด้านซ้าย เมื่อเราสร้างสี่เหลี่ยมขึ้นมาจะมีแทบ Properties ด้านขวา ให้ทำการเอาติ๊กถูกหน้าช่องของ Fill และ Border ออก สี่เหลี่ยมสีขาวก็จะกลายเป็นสี่เหลี่ยมล่องหนไปทันใด เราจะทำแบบนี้กับปุ่มทุกปุ่มที่เราต้องการจะให้คลิกได้ และขั้นตอนสุดท้าย นั้นคือการตั้งให้การคลิกสี่เหลี่ยมล่องหนนี้ทำอะไร เราจะทำผ่าน Tab ที่2 ชื่อ Prototype จากแถบ Menu Bar ข้างบน เมื่อกดเข้ามาใน Prototype Tab เราจะเห็นสี่เหลี่ยมล่องหนของเราถูก Highlight ด้วยสีฟ้าและมีลูกศรที่ด้านขวาของสี่เหลี่ยม ให้เราคลิกที่ลูกศร แล้วจะมีแถบด้านขวาขึ้นมาให้ตั้งค่าการ Interact ในส่วนของ Trigger ให้เลือกเป็น Tap นั้นก็คือการคลิกกล่องสี่เหลี่ยมดังกล่าว Type ให้เลือกเป็น Transition ในกรณีของการเปลี่ยนหน้า หรือเลือก Auto-Animate ในกรณีที่คลิกวัตถุนั้นแล้วมีการเปลี่ยนสถานะ Destination คือปลายทางที่จะไปนั้นก็คือ

Read More »

มาทำความรู้จักกับพื้นฐานการใช้งาน “TreeView” สำหรับมือใหม่กันดีกว่า

          เชื่อว่านักพัฒนาโปรแกรม Web application ด้วย .Net หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของเจ้า “TreeView” กันมาบ้างแล้ว หรือบางท่านก็อาจจะเกือบลืมเจ้าเครื่องมือตัวนี้ไปแล้วก็ตามเพราะมันอาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยนัก ในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยกเจ้า “TreeView” มาปัดฝุ่น แนะนำลูกเล่นการใช้งาน การกำหนดคุณสมบัติต่างๆ และวิธีการใช้งานกันอย่างคร่าวๆก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานให้กับมือใหม่หัดใช้ TreeView และรื้อความทรงจำให้กับผู้ที่เคยใช้ TreeView มาก่อนหน้านี้ เผื่อความสามารถที่ซ่อนอยู่จะไปเตะตาตรงใจท่านใดที่กำลังมองหาการทำงานแบบนี้อยู่พอดี จนอยากนำเครื่องมือตัวนี้ไปประยุกต์ใช้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแสดงผลข้อมูลในงานพัฒนาของท่านกันอีกครั้งได้ค่ะ           แต่ก่อนจะพูดถึงลูกเล่นการทำงานของ TreeView คงต้องเกริ่นนำกันก่อนว่าเจ้าเครื่องมือตัวนี้ถูกจัดอยู่ในจำพวก Navigation Control ซึ่งบางคนอาจเกิดคำถามว่า ข้อมูลแบบใดบ้างจึงจะเหมาะนำมาใช้งานแสดงผลกับเจ้า TreeView นี้ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้วนั้น ผู้เขียนคิดว่าข้อมูลที่เหมาะจะมาแสดงผลด้วย TreeView ควรจะเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นแบบ Hierarchy หรือเป็นลักษณะโครงสร้าง มีลักษณะข้อมูลเป็นลำดับชั้นย่อยๆ เช่น โครงสร้างหน่วยงาน โครงสร้างองค์กร หรือข้อมูลที่เป็นประเภทหลักและประเภทย่อย เป็นต้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเรียนรู้วิธีจัดการกับ TreeView ของเรากันเลยดีกว่าค่ะ ขั้นตอนสร้าง TreeView อย่างง่ายจาก Tool box ของ Visual studio .Net สามารถทำได้ดังนี้ สร้าง TreeView โดยเลือกจากแท็บเครื่องมือ ในกลุ่ม Navigation มาวางในหน้าจอ design ของเรา ดังรูป การเพิ่มและจัดการ node ให้กับ TreeView ได้โดยการคลิกเลือก “Edit Nodes…” ดังภาพ การจัดการเพิ่ม-ลดข้อมูล node ในระดับต่างๆ จะแสดงภาพดังหน้าจอต่อไปนี้ เพื่อใช้ในการจัดการเพิ่ม-ลดข้อมูล node ในระดับต่างๆ ดังนี้ โดยขั้นตอนการเพิ่ม – ลด node อย่างคร่าวๆ มีดังนี้ การเพิ่ม node ที่เป็น root (ลำดับแรกสุด) โดยการกดปุ่ม การเพิ่ม node ระดับย่อย(child node) โดยการกดปุ่ม การลบ node ที่ไม่ต้องการ สามารถทำได้โดยการกดปุ่ม ปรับเปลี่ยนระดับความลึกของ node โดยคลิกเลือก node ที่ต้องการจัดการและกดปุ่ม เพื่อเลื่อนระดับความลึกมากน้อยได้ตามต้องการ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการทำงานคล้ายกับการเยื้องย่อหน้าใน MS Word ที่เราคุ้นเคยกันดี การเลื่อนลำดับบน-ล่างให้กับ node สามารถทำได้โดยกดปุ่ม ตัวอย่าง หน้าจอการจัดการ node ใน TreeView               จากภาพตัวอย่าง มีการเพิ่มและจัดการ node ข้อมูลโครงสร้างองค์กรตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย วิทยาเขต และคณะ โดยการกำหนดค่าตายตัวจากหน้าจอ design ด้วยการระบุเอง ไม่ได้ดึงจากฐานข้อมูล ซึ่งท่านสามารถทดลองเพิ่มและจัดการได้ด้วยตัวเองเพื่อให้เข้าใจการทำงานมากขึ้น โดยลองทำตามขั้นตอนการจัดการ node ข้างต้น               นอกจากการเพิ่ม-ลด node แล้ว ท่านยังสามารถกำหนดคุณสมบัติให้กับ node ได้ด้วย โดยคลิกข้อมูล node ที่ต้องการจัดการจากฝั่งซ้ายมือ และกำหนดคุณสมบัติของ node ดังกล่าวในฝั่งขวามือ ซึ่งรายละเอียดการกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ในแต่ละ node จะขอพูดในหัวข้อถัดไป (ข้อ 4.)ค่ะ กำหนดคุณสมบัติให้กับแต่ละ node เราสามารถกำหนดคุณสมบัติ (Properties) เฉพาะให้กับแต่ละ node ได้ โดยจะขอพูดถึงคร่าวๆ ที่คิดว่าน่าจะใช้อยู่บ่อยๆและน่าสนใจ ดังนี้ ShowCheckBox : เป็นการระบุว่าจะให้ node ดังกล่าวแสดงช่องให้เลือกหรือไม่ Checked : เป็นการระบุว่า ต้องการให้มีการทำเครื่องหมายถูกไว้ในกล่อง check box หรือไม่ ซึ่งต้องมีการกำหนดควบคู่กับ ShowCheckBox = “true” นั่นเอง Text : ระบุว่าต้องการให้ node ดังกล่าวแสดงข้อความอะไร Value : ระบุค่าที่จะกำหนดให้กับ node ดังกล่าว

Read More »

วิธีสร้าง Live Stream ด้วย Google Meet เพื่องานประชุมขนาดใหญ่ — Deprecated

ต่อจาก ทุกคนใน PSU ใช้ Google Meet สำหรับประชุม / การเรียนการสอน ได้ใน 3 ขั้นตอน การประชุม มี 2 รูปแบบ 1) แบบห้องประชุมเล็ก อาจจะเป็นการประชุมเล็ก ทุกคนสามารถพูดแทรกได้ (Discussion) เป็นแนวระดมความคิด (Brainstorm) นึกถึงห้องประชุมที่ทุกคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน บนโต๊ะอาจจะมีไมโครโฟนของแต่ละคน ใครจะพูด ก็ยกมือ ขออนุญาตประธาน แล้วกดปุ่มพูด การประชุมแบบนี้ Google Meet ให้คนเข้าร่วมได้สูงสุด 250 คน ** ข้อแนะนำ ** ผู้เข้าร่วมประชุม ควรปิดไมค์ของตนเองไว้ก่อนเสมอ เพราะเสียงต่าง ๆ จะแทรกเข้าไปในห้องประชุมได้ ไว้เวลาอยากจะพูดอะไร ค่อยเปิดไมค์ แล้วพูด Google Meet จะสลับมายังหน้าของท่านเองอัตโนมัติ ปิดไมค์ใน Google Meet ทำงี้ครับ (แบบนี้คือเปิดอยู่ คลิกรูปไมค์เพื่อปิด) อย่างนี้ คือปิดเสียงแล้ว 2) แบบห้องประชุมเปิดขนาดใหญ่ การประชุมแบบนี้ เปิดให้คนจำนวนมาก สามารถเข้าฟังได้ โดยจะมีผู้พูดอยู่แหล่งเดียว อาจจะมีไมค์อยู่จำนวนหนึ่ง สำหรับให้ผู้เข้าร่วมประชุมซักถามได้ ในกรณีนี้ Google Meet สามารถรองรับการเข้าชม “พร้อม ๆ กัน” ได้ถึง 100,000 คน เรียกว่า “Live Stream” ในทางเทคนิคการใช้งาน หากผู้เข้าร่วมประชุมท่านใด ต้องการพูดกับผู้บรรยาย ก็ค่อย สลับเข้าร่วม (Join Meeting) ได้ ซึ่งก็จะสอบถามได้พร้อมกัน 250 คน วิธีทำ Live Stream บน Google Meet Live Stream ต้อง “เริ่มต้น” จาก Google Calendar เท่านั้น 1 สร้าง Event บน Google Calendar (ของ PSU เท่านั้น, Free Gmail ทำไม่ได้) เริ่มจาก คลิก วันที่ต้องการบรรยาย แล้ว ใส่ชื่อ Event เลือกช่วงเวลา แล้วคลิก More Options 2 เลือก Add Conference > Hangout Meet 3 เลือก Add live stream 4 Copy live stream link เอาไปเผยแพร่ เช่น แปะเป็น Link บน Website เป็นต้น 4 กดปุ่ม Save เป็นอันเรียบร้อย แล้วก็ รอเวลา ผู้จัดการบรรยาย ก็เข้าไปทำหน้าที่ครับ UPDATE: จากนั้น ก็เข้า Join Hangout Meet คลิก Join Now เสร็จแล้ว คลิกที่ Setting (3 จุดด้านขวาล่าง) แล้วคลิก Start Streaming วิธีการนี้ ทำให้ “คนในองค์กร” ของเรา สามารถเข้าฟังการบรรยายได้พร้อม ๆ กัน เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ต้อง Login ด้วย PSU G Suite for Education Account ก่อน จึงจะสามารถเข้าดูได้ –> Free Gmail และ ผู้ที่ไม่ได้ Login

Read More »