วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #13
บทความนี้ แสดงให้เห็นการโจมตีช่องโหว่ของ PHP แบบ CGI ทำให้สามารถ แทรกคำสั่งต่างๆไปยังเครื่องเป้าหมายได้ ดังที่ปรากฏใน วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #6 โดย PHP Version ที่ต่ำกว่า 5.3.12 และใช้แบบ php5-cgi จะมีช่องโหว่นี้ ก่อนอื่น ขออธิบายคร่าวๆ ว่า การใช้งาน PHP นั้น มีวิธีที่นิยมใช้กัน 3 วิธี [1] ได้แก่ 1. Apache Module 2. CGI 3. FastCGI 1. Apache Module (mod_apache) เป็นวิธีการที่ใช้งานอยู่กันโดยทั่วไป ได้รับความนิยม เพราะติดตั้งง่าย ข้อดี: – PHP ทำงานร่วมกับ Apache – เหมาะกับงานที่ใช้ PHP เยอะๆ ข้อเสีย: – ทุก Apache Process จะมีการโหลด PHP เข้าไปด้วย แสดงว่า จะใช้ Memory มากขึ้น ยิ่งมีการโหลด Module เพิ่ม ก็ยิ่งใช้ Memory เพิ่มอีก ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียก ภาพ หรืออะไรที่ไม่ใช้ PHP ก็ตาม – สิทธิ์ในการสร้าง/แก้ไขไฟล์ จะเป็นของ Web User เช่น Apache/httpd เป็นต้น ทำให้ มีปัญหาด้านความปลอดภัย ในกรณีใช้พื้นที่ร่วมกัน 2. CGI เป็นวิธีการใช้ PHP Interpreter เฉพาะที่จำเป็น ข้อดี – แก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย ในการใช้พื้นที่ร่วมกัน เพราะสิทธิ์ในการสร้าง/แก้ไขไฟล์ จะแยกเป็นของผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้น เมื่อเกิดการเจาะช่องโหว่ ก็จะไม่กระทบกับผู้อื่น – Apache Process จะทำหน้าที่เฉพาะให้บริการ HTTP แต่เมื่อต้องการใช้ PHP จึงจะไปเรียกใช้ ข้อเสีย – เป็นวิธีดั้งเดิม ไม่มีประสิทธิภาพนัก, การตอบสนองช้า 3. FastCGI เป็นการแยก Web Server กับ PHP ออกจากกัน ทำให้ การใช้งาน HTTP ที่มีต้องใช้ PHP ก็จะใช้งาน Memory น้อย แต่เมื่อต้องการใช้ PHP ก็จะส่งไปทาง Socket ทำให้สามารถกระจาย Load ไปยังเครื่องต่างๆได้ ข้อดี – ให้ความปลอดภัยในการใช้พื้นี่ร่วมกัน แบบ CGI แต่ทำงานเร็วขึ้น – สามารถ Scalability ได้ดี – Apache Process ที่ไม่ใช้ PHP ก็จะใช้ Memory น้อย ข้อเสีย – การตั้งค่าค่อนข้างยุ่งยาก จะใช้ .htaccess แบบเดิมไม่ได้ แต่ต้องใช้ php.ini แยกแต่ละผู้ใช้ ทำให้ดูแลยากขึ้น ปัญหาอยู่ที่ว่า บาง Web Server ที่ใช้งานกันอยู่ ใช้งาน PHP แบบ Apache Module อย่างเดียว แต่ ไปติดตั้ง PHP แบบ CGI ด้วย (php5-cgi package) แล้ว อาจจะไม่ได้ตรวจสอบให้ดี จึงทำให้มีช่องโหว่ได้ ตัวอย่างนี้ เป็น Web Server ที่ทำงานบน Ubuntu 10.04 Server + Apache 2.2.4