UX Design Processes

สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของ การออกแบบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์และดีต่อผู้ใช้ การสร้างสินค้าและบริการจะต้องประกอบไปด้วยการออกแบบทางด้านประสบการณ์ของผู้ใช้ หรือ UX เพราะทุกสิ่งที่ถูกคิดค้นหรือสร้างขึ้นล้วนต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ สร้างเพื่ออะไร ทำไปทำไม ตอบโจทย์อะไรกับผู้ใช้ ซึ่งการออกแบบมีด้วยกัน 6 ขั้นตอนหลักๆดังนี้ Step 1 : Understanding Environment (Discovery phase) เป็น phase แห่งการทำความเข้าใจ การทำความเข้าใจในที่นี้หมายถึง การที่เราเข้าใจผู้ใช้, เข้าใจ brand, เข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ เพื่อที่จะเอามาเป็นแนวทางในการทำ research ให้ phase ถัดไป User การทำความเข้าใจผู้ใช้งานระบบ -> Pain Point discovery การค้นหา Pain point ของผู้ใช้ เราต้องเข้าใจว่าปัญหาของผู้ใช้คืออะไรบ้าง เราคิดว่าจะแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้ได้อย่างไรบ้าง Brand เป้าหมาย/จุดประสงค์ขององค์กร เราต้องรู้โปรเจคนี้มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจหรือเป้าหมายขององค์กรเราอย่างไร ต้องพยายามยึดติดอยู่กับเป้าหมายขององค์กรเพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ Clear Needs & Conditions ความต้องการและเงื่อนไขที่ชัดเจน เราจะทำอะไร เราต้องทำภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้าง Step 2 : Research (Infomation Gathering, Hypothesis phase) เมื่อเราทราบถึงเป้าหมายของการสร้างหรือพัฒนาสินค้าและทราบถึงปัญหาของผู้ใช้แล้ว ขั้นต่อไปคือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม phase นี้จึงเป็น phase แห่งการค้นคว้า เก็บข้อมูลตั้งต้นเพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์ในขั้นตอนต่อไป การ research มีด้วยกันหลายวิธี Interview การสัมภาษณ์ 1:1 Interview การสัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับผู้ใช้ จะเป็นเหมือนการพูดคุยทั่วไปถึงเรื่องการใช้งานระบบ เคยเจอปัญหาอะไรมาบ้าง ยังคงติดปัญหาในจุดไหนอยู่ไหม ในการใช้งานระบบเขามองหาอะไรอยู่ การสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวทำให้ทราบถึงความจริงใจและอารมณ์ของผู้ใช้ สามารถนำมาเป็นตัววัดความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ของข้อมูลชุดนั้น การสัมภาษณ์แบบนี้สามารถทำแบบพูดคุยตัวต่อตัวหรือทาง meeting/conference/telephone ก็ได้ Group Interview การสัมภาษณ์แบบกลุ่ม เป็นวิธีการที่ให้ข้อมูลได้แบบไม่ค่อยละเอียด แต่ได้จุดที่สำคัญ มีการกรองกันจากการพูดคุยภายในกลุ่ม ลักษณะการถามก็จะเป็นเหมือนการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว การสัมภาษณ์ด้วยวิธีนี้อาจจะต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมา กลุ่มของผู้ใช้ 3-5 คนก็เพียงพอไม่จำเป็นต้องไปเก็บจากผู้ใช้ 100-1000 คน (Rule of thumb) Surveys การทำแบบสอบถาม ในการสร้างแบบสอบถามขึ้นมา เราต้องรู้ถึงปัญหาของผู้ใช้ ปัญหานี้เกิดในผู้ใช้กลุ่มไหน แล้วนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ออกมาเป็นสมมติฐาน หลักการสร้างแบบสอบถาม แยกปัญหาออกมา โดยดูความสำคัญว่า ปัญหาอันไหนสามารถวัดและทำ Testing ได้แล้วนำมาทำให้เป็นคำถามแบบที่ Interactive ได้ พยายามตั้งคำถามปลายเปิดแต่ยังสามารถทำให้เรามองเห็นคำตอบได้ *ไม่ควรตั้งคำถาม Yes/No, Rating เนื่องจากไม่สามารถนำข้อมูลมาพัฒนาต่อได้ ตัวอย่างของการทำ survey ที่ดี Hypothesis: สงสัยว่าหน้าแรกของระบบมันไม่จูงใจผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้ออก (nothing grabs user’s attention) วิธีถาม: 5seconds test นำหน้าเว็ปจริงๆมาและใช้ Heat map ในการวิเคราะห์โดยกำหนดโจทย์ว่า ให้ผู้ประเมินคลิกจุดแรกที่ผู้ใช้สนใจภายใน 5วินาที คำตอบ: Heat map result ผู้ใช้สนใจตรงไหนมากที่สุด สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อได้ Hypothesis: ข้อสงสัยที่คิดว่าลูกค้าไม่เข้าใจว่าเค้าทำอะไรได้บ้างบนเว็ปไซต์ของเขา วิธีถาม: 5seconds test ดูหน้าเว็ปแล้วถามว่า คิดว่าหน้านี้เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง คำตอบ: ลำดับของความชัดเจนว่า ผู้ใช้สนใจอะไรเป็นอันดับแรก และอันดับตามๆมา Hypothesis: สงสัยว่า content มันน่าจะไม่ดึงดูดผู้ใช้แน่ๆ วิธีถาม: นำเว็ปไซต์คู่แข่งมาเปิดคู่กันกับเว็ปไซต์เราและทำในลักษณะของ A/B testing โดยทำ hot spot test ให้ผู้ประเมินเลือก section ของเว็ปตัวอย่าง 3 ชิ้นที่คิดว่าจำเป็นสำหรับเขา คำตอบ: section ที่เขามองหาแต่เราไม่มี หรือจุดไหนที่มีเหมือนกัน หรือจุดไหนที่เรามีแต่คนอื่นไม่มี ข้อดี:: Scale ได้, รวดเร็ว, วิเคราะห์ง่าย ข้อเสีย:: คำตอบอาจจะมีการเอนเอียงได้ (Bias) ไม่สามารถอธิบายแทนสิ่งที่ผู้ใช้เจอมาได้ทั้งหมด คำตอบที่ได้ไม่หลากหลาย และมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลจากผู้ใช้ ถ้ามีการออกแบบแบบสอบถามไม่ดี ทำให้เกิดการพลาดโอกาส Usability Testing การสำรวจการใช้งานในกลุ่มเป้าหมาย การทำ

Read More »

Figma: Scrolling  with overflow behavior (Horizontal Scrolling)

บล๊อกนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำวิธีการตั้งค่า Mobile App Prototype ที่เราได้พัฒนาขึ้นมา (ด้วย figma) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลื่อน (Scrolling) ส่วนของเนื้อหาที่มีมากจนเกินขนาดของอุปกรณ์ได้ โดยใน figma นั้น สามารถทำ Scrolling เพื่อให้รองรับกับพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ 3 แบบ ดังนี้ค่ะ แบบที่ 1 Horizontal Scrolling  คือ การเลื่อนในแนวนอน ซ้ายและขวาภายในเฟรม โดยยังคงตำแหน่งแนวตั้งไว้ เช่น ภาพสินค้า , แกลอรี่ภาพ แบบที่ 2 Vertical Scrolling คือ การเลื่อนในแนวตั้ง ขึ้นและลงภายในเฟรม เช่น เลื่อนดูเว็บไซต์ที่มีขนาดยาว หรือเนื้อหาที่อยู่ภายในแอป แบบที่ 3 Horizontal & Vertical Scrolling คือ การเลื่อนในแนวนอนและแนวตั้ง ผู้ใช้สามารถเลื่อนไปในทิศทางใดก็ได้ภายในเฟรม เช่น การดูแผนที่ สำหรับบล๊อกนี้นั้น ผู้เขียนขอยกเอา Horizontal Scrolling มาแนะนำกันก่อนนะคะ ขั้นตอนหลักๆของการทำ Scrolling ก็มีตามนี้ค่าาาาา กดเลือก frame ที่ต้องการทำ Scrolling (ต้องเป็น Frame นะคะ จึงจะกำหนด Scrolling ได้) เปิด panel Prototype ที่แถบด้านขวา เลือก overflow behavior ตามที่ต้องการ ซึ่งมี 4 ตัวเลือกนะคะ คือ No Scrolling Horizontal Scrolling ** Vertical Scrolling Horizontal & Vertical Scrolling Horizontal Scrolling ผู้ใช้เลื่อน content ซ้ายและขวาภายใน frame วิธีการดูในคลิปได้เลยค่า ในคลิปวินาทีที่ 0:00:11 ทำ Group ให้เป็น frame (คลิกขวาบน Group แล้วเลือก Frame Selection) อย่างที่บอกกันข้างต้น เนื่องจากหากไม่ใช่ frame จะกำหนด Scrolling ไม่ได้วินาทีที่ 0:00:11 ปรับขนาดของ frame และ ซ่อนเนื้อหาที่เกินกรอบ โดยติ๊กถูกที่ Clip Contentวินาทีที่ 0:00:25 ไปที่ prototype panel แล้วกำหนด Overflow scrolling แบบ Horizontal scrollingวินาทีที่ 0:00:34 กด Present ลองดูผลลัพธ์กัน 😉 Ref : https://help.figma.com/hc/en-us/articles/360039818734-Prototype-scrolling-with-overflow-behavior

Read More »

การประยุกต์ใข้  Sequence เพื่อสร้างตัวเลขอัตโนมัติให้กับ Table ใน Oracle Database

ก่อนหน้านี้เคยได้รับความต้องการจากระบบหนึ่งซึ่งเป็นระบบที่รับสมัครนักเรียนเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโดยมีความต้องการข้อหนึ่งว่า “ในส่วนการจัดเก็บข้อมูลเลขที่สมัคร ให้รันข้อมูลเลขที่ผู้สมัครตามโครงการที่เปิดรับในแต่ละปีการศึกษา” เนื่องในการพัฒนาระบบนี้ มีการใช้ Oracle Database ในการจัดการฐานข้อมูลอยู่แล้ว เพื่อน ๆ ที่เคยทำงานกับ Oracle Database ก็จะทราบว่าเราสามารถใช้ Oracle Sequence  เพื่อสร้างตัวเลขอัตโนมัติได้ ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะใช้ Oracle Sequence มาประยุกต์ใช้เพื่อที่จะรันเลขที่ผู้สมัครได้ โดยสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาผู้สมัครได้ข้อมูลเลขที่สมัครเดียวกัน กรณีที่ทำการสมัครในโครงการเดียวกันเรียนพร้อม ๆ กันอย่างแน่นอน วิธีการดำเนินการก็ไม่ยุ่งยากแค่สร้าง sequence ตามโครงการและปีที่เปิดรับทั้งหมดไว้ให้ก่อนให้เรียบร้อยและเมื่อนักศึกษามาสมัครก็สามารถเรียกใช้ได้เลย ตามวิธีการข้างต้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ก็เริ่มมีคำถามในใจ ถ้าโครงการนั้นไม่มีผู้สมัครเลย ถ้าดำเนินการสร้างไว้ก่อนก็เปลืองเปล่า ๆ หรือถ้าลืมสร้างของบางโครงการ ระบบต้องเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน จึงเกิดแนวคิดใหม่แทนที่จะสร้างไว้ก่อน เปลี่ยนเป็นสร้าง sequence ตอนที่นักเรียนสมัครในโครงการนั้น ๆ ดีกว่า โครงการไหนไม่มีการสมัครก็ไม่ต้องสร้าง และไม่เกิดปัญหาสร้าง sequence ไม่ครบในทุกโครงการแน่นอน คราวนี้ถึงเวลาที่เราจะมาดำเนินการกันแล้วค่ะ โดยมีขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้คือ ตรวจสอบก่อนว่ามีการสร้าง sequence ของโครงการนั้น ๆ หรือยังถ้ายังไม่มีการสร้างก็ให้ทำการสร้าง และเมื่อถึงเวลาที่มีการสมัครก็สามารถเรียกใช้ sequence เพื่อออกเลขที่ผู้สมัครได้เลยค่ะ ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบว่ามีสร้าง sequence หรือยัง โดยเราสามารถตรวจสอบได้จาก object : user_sequences ตามตัวอย่าง Oracle Function ดังต่อไปนี้     FUNCTION CountSequence (var_seq_name IN VARCHAR2)         RETURN NUMBER     IS         var_seq_count   NUMBER := 0;         var_seq_query   VARCHAR2 (1000);     BEGIN         var_seq_query :=                ‘SELECT COUNT (*) FROM user_sequences WHERE sequence_name = ”’             || var_seq_name             || ””;         EXECUTE IMMEDIATE var_seq_query             INTO var_seq_count;         RETURN var_seq_count;     END; ขั้นตอนที่ 2 ทำการสร้าง sequence ตามหลักการการตั้งชื่อ ตามตัวอย่าง Oracle Procedure ดังต่อไปนี้ PROCEDURE CreateSequence (var_seq_name IN VARCHAR2)     IS         var_seq_count   NUMBER := 0;     BEGIN         var_seq_count := CountSequence (var_seq_name);         IF var_seq_count = 0         THEN             EXECUTE IMMEDIATE   ‘CREATE SEQUENCE ‘                              || var_seq_name                              || ‘ START WITH 1 INCREMENT BY 1 MINVALUE 1 MAXVALUE 9999999                                          NOCACHE NOCYCLE’;         END IF;     END; ขั้นตอนที่ 3 เมื่อทำการสร้าง sequence เสร็จเรียบร้อย เราสามารถดึงค่าถัดไปของลำดับด้วยคำสั่ง nextval การออกเลขที่ผู้สมัครให้กับนักเรียน ซึ่งจะถูกเก็บไว้ที่ตัวแปร var_app_no โดยมีความยาวขนาด

Read More »

ว่าด้วยเรื่องการคำนวณตัวเลขตรวจสอบ (Check Digit)

ได้รับมอบหมายจากทีมในการสร้าง Oracle Function เพื่อคำนวณตัวเลขตรวจสอบ (check digit) ของการชำระเงินค่าสมัครผ่านช่องทางการชำระเงินช่องทางหนึ่ง โดยได้รับ requirement มาดังภาพข้างล่างนี้ จากภาพข้างต้นจะมีข้อมูลสำหรับการนำเข้า 4 ชุดซึ่งประกอบด้วย ชุดที่ 1 : Customer No.1/Ref.1  ชุดที่ 2 : Due Date (DDMMYY : พ.ศ.)   ชุดที่ 3 : Customer No.2/Ref.2 ชุดที่ 4 : จำนวนเงินที่ต้องชำระ พร้อมด้วยขั้นตอนวิธีในการคำนวณตัวเลขตรวจสอบ (check digit) ดังนี้ มาทำความเข้าใจกับวิธีคำนวณกันก่อนที่จะเริ่มต้นสร้าง Oracle Function ถ้ามาดูรายละเอียดของวิธีการคำนวณในข้อที่ 1 ซึ่งเป็นการหาค่าประจำหลักของข้อมูลนำเข้า โดยวิธีการคือ นำข้อมูลแต่ละหลักคูณค่าคงที่ คือ 6, 4, 5, 8, 7 ไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ การหาค่าประจำหลักของข้อมูลนำเข้า จะสังเกตุว่าถ้านำข้อมูลนำเข้าทั้ง 4 ชุดข้อมูลมาเรียงต่อกันจะมีความยาวเท่ากับ 35 โดยที่ ลำดับที่ 1, 6, 11, 16, 21, 26, 31 นำค่าข้อมูลคูณด้วย 6 ลำดับที่ 2, 7, 12, 17, 22, 27, 32 นำค่าข้อมูลคูณด้วย 4 ลำดับที่ 3, 8, 13, 18, 23, 28, 33 นำค่าข้อมูลคูณด้วย 5 ลำดับที่ 4, 9, 14, 19, 24, 29, 34 นำค่าข้อมูลคูณด้วย 8 ลำดับที่ 5,10, 15, 20, 25, 30, 35 นำค่าข้อมูลคูณด้วย 7 กรณีถ้าไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนเราก็บอกว่า fix ค่าไปเลยตามเงื่อนไขข้างต้น ก็สามารถจะหาค่าประจำหลักของข้อมูลนำเข้าแต่ละตัวได้ แต่ถ้าจะยืดหยุ่นกว่านั้นก็สามารถมองได้ว่า ลำดับที่ 1, 6, 11, 16, 21, 26, 31 เมื่อ mod ด้วย 5 จะได้ค่ากับ 1 ลำดับที่ 2, 7, 12, 17, 22, 27, 32 เมื่อ mod ด้วย 5 จะได้ค่ากับ 2 ลำดับที่ 3, 8, 13, 18, 23, 28, 33 เมื่อ mod ด้วย 5 จะได้ค่ากับ 3 ลำดับที่ 4, 9, 14, 19, 24, 29, 34 เมื่อ mod ด้วย 5 จะได้ค่ากับ 4 ลำดับที่ 5,10, 15, 20, 25, 30, 35 เมื่อ mod ด้วย 5 จะได้ค่ากับ 0 ดังนั้นเราก็สามารถค่าประจำหลักของข้อมูลนำเข้าได้ดังต่อไปนี้ ค่าลำดับที่ mod ด้วย 5 ได้เท่ากับ 1 ให้นำค่าข้อมูลคูณด้วย 6 ค่าลำดับที่ mod ด้วย 5 ได้เท่ากับ

Read More »

UX, everything related!

เรามักได้ยินคำว่า UI เป็นประจำเมื่อเราพัฒนาระบบแต่ รู้หรือไม่ว่านอกจาก UI แล้วมันมีอีกหนึ่งอย่างที่ควรรู้และสำคัญยิ่งกว่าแต่ถูกมองข้ามไปคือ UX (ย่อมาจาก User experience) หลายๆคนมักจะสับสนว่า UI และ UX มันคือสิ่งเดียวกัน จริงๆแล้วมันคือคนละอย่างกันเลย วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง UI :: User Interface User Interface คือหน้าตาของระบบที่ผู้ใช้ได้เห็น ได้ตอบสนอง ไม่ใช่ระบบในทางคอมพิวเตอร์อย่างเดียวที่มี UI ถ้าเทียบกับขวดซอสมะเขือเทศ ขวดก็คือหนึ่งใน UI เช่นกันหรืออาหาร 1 จาน หน้าตาของอาหารก็ถือว่าเป็น UI ด้วย “UI เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้หรือจับต้องได้“ UX :: User Experience User Experience คือ Experience หรือประสบการณ์ของผู้ใช้ที่เราได้ส่งมอบให้ มากกว่า Interface ที่ผู้ใช้งานได้ตอบสนอง เราจะไป focus ที่ผู้ใช้ใช้สินค้าเราแล้วมีความรู้สึกอย่างไร ผู้ใช้ใช้สินค้าเราแล้วได้บรรลุวัตถุประสงค์ของเราหรือไม่ “UX คือสิ่งที่อยู่กับความรู้สึก จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่วัดประเมินผลได้” ยกตัวอย่างแบบเห็นภาพ การออกแบบ UX ของการรับประทานอาหารจานหนึ่ง เราอยากให้ผู้ใช้รู้สึก fresh ก่อนตามด้วยความแน่นของรสชาติที่ตั้งใจปรุงตามมา ก็ต้องออกแบบจานอาหาร การเลือกใช้วัตถุดิบ หรือการให้กินคู่กับเครื่องดื่มบางอย่าง จะช่วยส่งเสริม/เติมเต็มให้ผู้กินได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ได้ จริงๆแล้ว นอกจาก website หรือ application ที่ต้องมี UX ที่ดีเป็น 1 ในองค์ประกอบแล้ว ทุกๆอย่างรอบตัวในชีวิตประจำวันก็ต้องมี UX ที่ดีเช่นกัน Why should we have to care on UX? UX เรียกได้ว่าเป็นสารต้นต้นของสินค้าก็ว่าได้ การทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีมักจะเป็น 1 ในวัตถุประสงค์หลักในการออกแบบสินค้าและบริการ เพราะถ้าทำออกมาแล้ว ผู้ใช้ไม่ enjoy ใช้แล้วลำบากกว่าเดิม แล้วใครจะมาใช้งาน? สินค้าบางอย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่นซอสมะเขือเทศออกแบบขวดซอสแบบทั่วไป เวลาใช้ผู้ใช้จะต้องเคาะ/เขย่าขวด ซอสจึงจะออกมา การออกแบบขวดให้เป็นแบบคว่ำ บีบแล้วซอสออกเลย เป็นการแก้ปัญหาของผู้ใช้ เมื่อผลิตออกมาจึงขาย ตอบโจทย์ปัญหาของผู้ใช้ ผู้ใช้ก็ happy, win win ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ แล้วเราจะไปหาข้อมูลอะไรมาวิเคราะห์หละ แน่นอน UX = Research Research เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำแบบสอบถาม การสัมภาส การสังเกตการใช้งาน การลงพื้นที่จริง หรือการอิงข้อมูลทางสถิติหรือข้อมูล log ยิ่งทำเยอะยิ่งทำให้เกิด UX ที่ดี การมี user experience ที่ดีมาจากการทำ Research หรือการค้นความหาข้อมูล ถามว่าการตามหาข้อมูลจะทำได้อย่างไรหละ User Research การ research ข้อมูลของผู้ใช้งาน/กลุ่มผู้ใช้งาน จะได้ออกแบบได้ตรงจุด ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ เป็นต้น ผู้ใช้ที่เราขายคือใคร กลุ่มไหนบ้าง ทำงานอะไร ผู้ใช้สินค้าเรามีบุคลิกอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร รวมไปถึง รูปภาพของผู้ใช้ ควรเป็นรูปที่สามารถสื่อถึง Lifestyle ของคนๆนั้นได้ จะดีมากๆ ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวแปรตั้งต้นที่เราจะต้องมาออกแบบระบบอย่างไรให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่เราเก็บข้อมูลมา จะเห็นได้ว่า ยิ่งเราทำ research มาเท่าไหร โอกาสของการสร้างสินค้ามาให้ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ได้ จะทำให้สินค้าเราขายออกได้ง่ายกว่าเช่น การออกแบบระบบสารสนเทศที่กลุ่มผู้ใช้ระบบ 90%เป็นผู้มีอายุ การทำระบบให้เขาใช้งานก็ควรมีตัวอักษรที่ใหญ่กว่าทั่วไป มีการทำ Shortcut เมนูที่ง่าย ไม่สับซ้อน Brand Research คนที่ว่าจ้างหรือว่าง่ายๆคือเจ้าของระบบคือใคร Brand หรืออัตลักษณ์ของเขาเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์ขององค์กร สีขององค์กร design token ขององค์กร ก็เป็นอีก 1 อย่างที่ต้องมีการศึกษาข้อมูลด้วยเช่นกัน Problem Research นอกจากการ research ผู้ใช้แล้ว เราก็ควรศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะอะไรผู้ใช้ถึงเลิกใช้ ทำไมผู้ใช้ถึงไม่ใช้ feature นี้ ทำไมผู้ใช้สับสนในการใช้งาน ปัญหาเหล่านี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งสารตั้งต้นที่จะทำไปออกแบบและพัฒนาสินค้าด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถสำรวจปัญหาเหล่านี้ได้จากการให้ผู้ใช้ทำแบบสอบถาม การลงพื้นที่จริงไปสังเกตการใช้งานระบบ

Read More »